วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561

             
              อนุทินครั้งที่๑๕
 
การเรียนในครั้งนี้นะคะต่อจากสัปดาห์ที่เเล้วที่อาจารย์ให้นำอปกรณ์ต่างๆมาทำอาหารสำหรับเด็กปฐมวัยค่ะ
  มีดังนี้
 1.ทับทิมกรอบ
 2.ข้าวผัด
บรรยากาศในการทำ





-------------------------------------------------------

     
                   
                                อนุทินครั้งที่๑๔
                       .........................................
          การเรียนในครั้งนี้นะคะอาจารย์ให้นำเสนองานเป็นกลุ่มค่ะ   หัวข้อกลุ่ม  ..สุภาพ..
นำเสนอแบบนิทานค่ะ
      เเละตอนท้ายชั่วโมงอาจารย์สั่งให้คิดเมนูอาหารที่เหมาะสำหรับเด็กปฐมวัยเเละให้นำอุปกรณ์มาทำในอาทิตย์หน้าค่ะ
            👨‍🏫👨‍🏫👨‍🏫👨‍🏫👨‍🏫👨‍🏫👨‍🏫
   
                       อนุทินครั้งที่๑๓

           ................ไม่ได้มาค่ะ.................
          >>>>>>>>>>><<<<<<<<<<<<<
                     

                   
     
                      อนุทินครั้งที่๑๒

    อาจารย์ได้พาไปศึกษานอกสถานที่ค่ะ
         >>>>>>>>>>><<<<<<<<<<<<
       
                    อนุทินครั้งที่ ๑๑
                    27 มีนาคม 2561
การเรียนในครั้งนะคะอาจารย์ให้งานไว้ตั้งต้นเทอมให้ไปหาประสบการณ์ที่โรงเรียนสังเกตุเเละถามการเรียนการสอนสำหรับเด็กปฐมวัยเเละนำมาเสนองานในสัปดาห์นี้เเต่ละกลุ่มก็พร้อมที่จะนำเสนอค่ะ
           เดี๋ยวเรามาดูภาพบรรยากาศของโรงเรียนบางบัวกันนะคะ

 บรรยากาศภายในห้องเรียนค่ะ



 บรรยากาศภายในโรงเรียนค่ะ

    ผลงานของอาจารย์

 ผลงานของเด็กปฐมวัย


สรุป
   ครั้งนี้ได้ออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกหาความรู้เพิ่มเติมนอกจากห้องเรียนเเล้วอาจารย์ให้เรามาฝึกหาความรู้ด้วยตัวเองได้มาเจอบรรยากาศจริงครั้งนี้ที่เราไปเด็กๆปิดเทอมเเล้วเเต่ได้มาสอบถามอาจารย์เกี่ยวกับเด็กปฐมวัยค่ะ



         และนำความรู้ที่ได้มานำเสนอในห้องเรียนให้เพื่อนฟังค่ะ

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561

                             
                       อนุทินครั้งที่ ๑๐
                   การเรียนในครั้งนี้นะคะ


ความหมายของคำว่า
จริยธรรมไว้ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ดังนี้
"จริยธรรม" คือหลักแห่งการประพฤติ ปฏิบัติที่ดีที่เหมาะที่ควร
"จริยธรรม"คือหลักคำสอนที่ว่าด้วยเเนวทางการประพฤติที่เป็นหลักการเเละเป็นที่ยอมรับนับถือ

ส่วนความหมายเเม่การนำไปสู่การปฏิบัตินั้นจริยธรรม มีความหมายตามที่เข้าใจโดยทั่วไปว่าจริยธรรม
เป็นแนวทางที่เเสดงให้เห็นถึงวิธีการประพฤติ
การพัฒนาคนให้เป็นผู้ที่มีจริยธรรมนั้นมีเเนวทางการพัฒนาโดยอาศัยทฤษฏีที่เกี่ยวข้องดังนี้
ทฤษฏีจริยธรรมตามเเนวคิดการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมของโคลเบอร์ก
"โคลเบอร์ก"
เป็นนักจิตวิทยาที่อธิบายถึงจริยธรรมของคนที่พัฒนาขึ้นไปพร้อมกับความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลโดยเเบ่งออกเป็น3ระดับ คือระดับก่อนเกณฑ์ระดับเกณฑ์สังคมเเละระดับเลยเกณฑ์ของสังคม
ทฤษฏีการเรียนรู้จริยธรรมด้วยการกระทำตามเเนวคิดสกินเนอร์
"สกินเนอร์"
นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมเป็นผู้เสนอทฤษฏีที่มีความเชื่อว่าพฤติกรรมของคนเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
ทฤษฏีการเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมตามเเนวคิดของแบนดูรา
"แบนดูรา"
นักจิตวิทยาสังคมอธิบายว่าพฤติกรรมส่วนใหญ่ของคนในสังคมเกิดจากการเรียนรู้โดยสังเกตุจกตัวเเบบทั้งตัวแบบในชีวิตจริงหรือตัวแบบที่เป็นสัญลักษณ์
วิธีการสอนจริยธรรมในเด็กปฐมวัย
1.การใช้วิธีการให้รางวัลเเละการลงโทษทั้งนี้การให้รางวัลมิได้หมายถึงการให้คำชมเชยยกย่อง ยอมรับการเเสดงความชื่นชมไม่มากหรือน้อยไป
กระบวนการพัฒนาจริยธรรมในเด็กปฐมวัย 1.การรับรู้
          2.การตอบสนอง
           3.การจัดระเบียบ
                      4.การสร้างลักษณะนิสัย

๑.ขยัน
      ๒.ประหยัด
    ๓.ซื่อสัตย์
 ๔.มีวินัย
 ๕.สุภาพ
  ๖.สะอาด
   ๗.สามัคคี
  ๘.มีน้ำใจ


"ประเมินตนเอง"
มาเรียนตรงตามเวลาเเละตั้งใจอาจารย์ฟังอาจารย์
"ประเมินเพื่อน"
เพื่อนเข้ามาบางคนก็สายบ้างบางคนก็มารอเรียน
บ้างเเละเพื่อนเเต่ล่ะคนมีความตั้งใจเเละทำความเข้าใจไปพร้อมกันได้ดีค่ะ
"ประเมินอาจารย์"
อาจารย์สอนตรงตามเนื้อหาเเละบอกงานชัดเจนดีค่ะ
ข้อคิดเห็น
บรรยากาศในห้องเรียนเหมาะสมดี เอื้อต่อการเรียนรู้การเรียนมีการถาม-ตอบทำความเข้าใจไปพร้อมกันสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของวิชานี้คือการที่อาจารย์ฝึกให้เเสดงจุดยืนของเราว่าเรามีความคิดเห็นกับเพื่อนหรือไม่






         
                    อนุทินครั้งที่ ๙
        ในสัปดาห์นี้อาจารย์ให้สอบค่ะ
        😊😊😊😊😊😊😊😊😊😊
                      อนุทินครั้งที่ ๘

   การเรียนในครั้งนี้นะคะอาจารย์ได้พูดถึงเรื่องการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยค่ะ

ความหมายของการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย
       การอบรมเลี้ยงดูเด็ก หมายถึง การที่บิดามารดา หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องในการ้ลี้ยงดูเด็ก ปฏิบัติต่อเด็กที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ให้เจริญเติบโตเเละยังมีพัฒนาการ ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม เเละสติปัญญา

ความสำคัญของพ่อเเม่ในการอบรมเลี้ยงดู
       คุณภาพเเละประสิทธิภาพของมนุษย์ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของเเต่ละคนตามวียต่างๆ โดยเฉพาะบุคคลในวัยทำงานนั้นจะมีคุณภาพเเละประสิทธิภาพเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ การฝึกฝนเเละประสบการณ์ที่ต่เนื่องตั้งเเต่เเรกเกิดจนถึงวัยปัจบัน

บทบาทและหน้าที่ของพ่อแม่ในการอบรมเลี้ยงดู
  1.มีเจตคติที่ดีต่อเด็ก
  2.สนองความต้องการของเด็กในทุกด้าน
  3.ถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณีให้กับเด็ก
  4.ปลูกฝังเจตคติที่ดีต่อบุคคลเเละสิ่งต่างๆ
  5.ส่งเสริมความสนใจของเด็ก
  6.ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา
  7.สร้างสิ่งเเวดล้อมที่ดีให้เเก่เด็ก
  8.ทำตัวเป็นครูของเด็ก
  9.การให้เเรงเสริมและการลงโทษ

รูปแบบของการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย
 
บทบาทของพ่อแม่ที่ไม่เหมาะสมในการอบรม้ลี้ยงดู
     1.การตี
     2.การขู่
     3.การให้สินบน
     4.การเยาะเย้ย
     5.การทำโทษรุนเเรงเกินไป
     6.การล่อเลียน
     7.การคาดโทษ
     8.การกระทำให้ได้รับความเจ็บปวด
     9.การทำให้ได้รับความอับอาย
     10.การเปรียบเทียบกับเด็กที่เล็กกว่า

ความสำคัญเเละวามสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่เเละลูก
วิธีดารอบเลี้ยงดู
      ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่เเละลูก หมายถึงความรู้สึกที่พ่อแม่มีต่อลูกเเละความรู้สึกที่ลูกมีต่อพ่อมเเม่นั่นเองเเต่ละคนอาจจะมีความรู้สึกต่อพ่อเเม่ต่างกัน เช่นมีคำกล่าวว่าลูกสาสมักจะใกล้ชิดสนิทสนมกับเเม่มากกว่าพ่อ เป็นต้น

  เจตคติของพ่อเเม่ที่มีต่อลูก 6แบบ
    1. พ่อแม่ที่รักเเละคอยช่วยเหลือเอาใจใส่ลูกมากเกินไป
   2.พ่อแม่เอาใจลูกมากเกินไป
   3.พ่อเเม่ทอดทิ้งเด็ก
   4.พ่อแม่ที่ยอมนับเด็ก
   5.พ่อเเม่ที่ชอบบังคับลูก
   6.พ่อแม่ที่ยิมจำนนต่อลูก
       
บรรยากาศภายในห้องเรียนค่ะ



ทุกคนตั้งใจฟังและช่วยกันค้นหาข้อมูลค่ะ


"ประเมินตนเอง"
มาเรียนตรงตามเวลาเเละตั้งใจอาจารย์ฟังอาจารย์
"ประเมินเพื่อน"
เพื่อนเข้ามาบางคนก็สายบ้างบางคนก็มารอเรียน
บ้างเเละเพื่อนเเต่ล่ะคนมีความตั้งใจเเละทำความเข้าใจไปพร้อมกันได้ดีค่ะ
"ประเมินอาจารย์"
อาจารย์สอนตรงตามเนื้อหาเเละบอกงานชัดเจนดีค่ะ
ข้อคิดเห็น
บรรยากาศในห้องเรียนเหมาะสมดี เอื้อต่อการเรียนรู้การเรียนมีการถาม-ตอบทำความเข้าใจไปพร้อมกันสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของวิชานี้คือการที่อาจารย์ฝึกให้เเสดงจุดยืนของเราว่าเรามีความคิดเห็นกับเพื่อนหรือไม่


วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2561

                             อนุทินครั้งที ๗
                       13 กุมภาพนธ์ 2561
นักทฤษฏีพัฒนาการกับเด็กปฐมวัยคาบเรียนนี้พรีเซนต์เนื้อหาความรู้นักทฤษฎีเเต่ละกลุ่ม มีดังนี้
ทฤษฎีด้านจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์
ทฤษฎีพัฒนาการด้านจิตสังคมของอีริคสัน
ทฤษฎีของกรีเซล
ทฤษฎีด้านจริยธรรมของโคลเบอร์ก
ทฤษฎีพัฒนการด้านความคิดเข้าใจของบรุนเนอร์



                 บรรยากาศในห้องเรียนค่ะ

ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์
        ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เป็นนายแพทย์ จิตแพทย์ และนักจิตวิทยาชาวออสเตรีย เกิดเมื่อวันที่ 06 พฤษภาคม ค.ศ.1856และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1939เป็นผู้สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์ 

ฟรอยด์ได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางเพศไว้ ขั้นตอน คือ
        1.  ขั้นปาก (Oral Stage) (แรกเกิด - 18 เดือน) ลิบิโดไปกระตุ้นบริเวณปาก การดูดจึงเป็นการลดภาวะเครียดของเด็ก แต่เด็กบางคนอาจเกิดภาวะติดค้างได้ ซึ่งอาจเนื่องจากการหย่านมด้วยวิธีการรุนแรง การมีน้องเร็ว การที่มารดามีภารกิจมาก เป็นต้น เมื่อบุคคลนี้เติบโตขึ้นก็อาจมีพฤติกรรมชอบกินเหล้า สูบบุหรี่ กินจุกจิก จู้จี้ขี้บ่น เป็นต้น
        2.  ขั้นทวารหนัก (Anal Stage) (อายุ 1 ปี 6 เดือน - 3 ปี 6 เดือน) ลิบิโดไปกระตุ้นที่ทวารหนัก การกัก และการปล่อยอุจจาระจึงเป็นการลดภาวะเครียดของเด็ก แต่ถ้าผู้ใหญ่ที่เลี้ยงดูใช้วิธีการเข้มงวดในการฝึกวินัยในการขับถ่าย เด็กจะเกิดภาวะติดค้าง เมื่อโตขึ้นอาจมีนิสัยเผด็จการหรือไม่มีความพอดีในเรื่องความสะอาดและการใช้จ่าย
        3.  ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage) (อายุ 3 ปี 6 เดือน - 6 ปี) ลิบิโดไปกระตุ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากเด็กเริ่มสนใจความแตกต่างระหว่างเพศ จึงทำให้ชอบจับต้องอวัยวะเพศเล่น เป็นการลดภาวะเครียด แต่ผู้ใหญ่มักใช้ค่านิยมของตนไปตัดสินพฤติกรรมของเด็กว่าไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นการขัดขวางการลดภาวะเครียดของเด็ก ทำให้เด็กเกิดภาวะติดค้าง เมื่อโตขึ้นเด็กก็อาจจะชอบแสดงออกในเรื่องเพศ ชอบพูดจาสองแง่สองง่าม หรือให้ความสนใจต่อเรื่องเพศมากเป็นพิเศษ  ในขั้นนี้มีสิ่งสำคัญเกิดขึ้นคือ เด็กชายเกิดปมโอดิปุส (Oedipus Complex) และเด็กหญิงจะเกิดปมอีเลคตร้า (Electra Complex) ซึ่งหมายถึงความรู้สึกของเด็กชายที่รักและติดแม่ เด็กหญิงจะรักและติดพ่อ และเด็กชายจะเลียนแบบพ่อเพื่อให้เป็นที่รักของแม่ ส่วนเด็กหญิงจะเลียนแบบแม่เพื่อให้เป็นที่รักของพ่อ อันส่งผลให้เริ่มมีบุคลิกภาพสอดคล้องกับเพศของตน
        4.  ขั้นพัก หรือขั้นแฝง (Latency Stage) (อายุ 6 - 12 ปี) ขั้นนี้ถือได้ว่าเป็นการพัก แต่มิใช่ว่าไม่มีการกระตุ้นของลิบิโดแต่พฤติกรรมทางเพศเป็นไปอย่างสะเปะสะปะไม่อยู่ที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งโดยเฉพาะจึงไม่มีภาวะติดค้าง
        5.  ขั้นเพศ (Genital Stage) (อายุ 12 - 20 ปี) เป็นช่วงวัยรุ่น ลิบิโดจะไปกระตุ้นบริเวณอวัยวะเพศ และเป็นไปอย่างมี วุฒิภาวะทางเพศ” กล่าวคือ พร้อมต่อการสืบพันธุ์ การลดภาวะเครียดจึงเป็นการบำบัดความใคร่ด้วยตนเอง (Masturbation) ทั้งนี้เนื่องจากสภาพทางสังคมยังไม่เอื้อต่อการให้บุคคลในวัยนี้มีคู่ครองทั้งๆ ที่มีความต้องการทางการสืบพันธุ์สูงมาก

ฟรอยด์มีความเชื่อว่า ลักษณะจิตใจของบุคคลสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
        ฟรอยด์เชื่อว่าบุคลิกภาพมีโครงสร้างที่ประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้
        อิด (Id) เป็นส่วนที่กระตุ้นความต้องการของบุคคลและบงการการตอบสนองความต้องการตามหลักแห่งความพึงพอใจ (Pleasure Principle) คือ คำนึงความพึงพอใจของตนเองเป็นใหญ่ โดยไม่คำนึงว่าผู้อื่นจะเดือดร้อนหรือไม่
        อีโก้ (Ego) เป็นส่วนที่กระตุ้นให้บุคคลตอบสนองความต้องการที่เกิดจากอิด โดยไม่ให้อิดบงการการตอบสนอง อีโก้จะตอบสนองตามหลักแห่งความเป็นจริง (Reality Principle) คือ คำนึงถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมระหว่างตนเองกับผู้อื่น
        ซูเปอร์อีโก้ (Superego) เป็นส่วนที่บงการการตอบสนองความต้องการของอิด โดยคำนึงถึงหลักแห่งมโนธรรม (Moral Principle) คือคำนึงถึงประโยชน์สุขของผู้อื่น แต่ตนเองอาจทุกข์ก็ได้ ถือว่าเป็นการตอบสนองความต้องการในระดับสูงกว่าเกณฑ์ปกติของคนทั่วไป
        การทำงานของคนทั้ง 3 ประการจะพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลให้เด่นไปด้านใดด้านหนึ่งของทั้ง 3 ประการนี้ แต่บุคลิกภาพที่พึงประสงค์ คือ การที่บุคคลสามารถใช้พลังอีโก้เป็นตัวควบคุมพลังอิด และซูเปอร์อีโก้ให้อยู่ในภาวะที่สมดุลได้

อีริคสัน เป็นลูกศิษย์ของฟรอยด์ได้สร้างทฤษฎีขึ้นในแนวทางความคิดของฟรอยด์ แต่ได้เนินความสำคัญทางด้านสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมด้านจิตใจ ว่ามีบทบาทในพัฒนาการบุคลิกภาพมาก ความคิดของอีริคสันต่างกับฟรอยด์หลายประการ เป็นต้นว่า คือถือว่าพัฒนาการของคนไม่ได้จบแค่วัยรุ่น แต่ต่อไปจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต คือ วัยชรา และตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ บุคลิกภาพของคนก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทฤษฎีจิตสังคม ได้แบ่งพัฒนาทางบุคลิกภาพออกเป็น 8 ขั้น คือ
ขั้นที่ 1 ความไว้วางใจ – ความไม่ไว้วางใจ
ซึ่งเป็นขั้นในวัยทารก อีริควันถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของพัฒนาการในวัยต่อไป เด็กวัยทารกจำเป็นจะต้องมีผู้เลี้ยงดูเพราะช่วยตนเองไม่ได้ ผู้เลี้ยงดูจะต้องเอาใจใส่เด็ก ถึงเวลาให้นมก็ควรจะให้และปลดเปลื้องความเดือดร้อน ไม่สบายของทารกอันเนื่องมาจากการขับถ่าย เป็นต้น
ขั้นที่ 2 ความเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระ – ความสงสัยไม่แน่ใจตัวเอง
อยู่ในวัยอายุ 2-3 ปี วัยนี้เป็นวัยที่เริ่มเดินได้ สามารถที่จะพูดได้และความเจริญเติบโตของร่ายการช่วยให้เด็กมีความอิสระ พึ่งตัวเองได้ และมีความอยากรู้อยากเห็น อยากจับต้องสิ่งของต่างๆ เพื่อต้องการสำรวจว่าคืออะไร เด็กเริ่มที่อยากเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง
ขั้นที่ 3 การเป็นผู้คิดริเริ่ม – การรู้สึกผิด
วัยเด็กอายุประมาณ 3-5 ปี อีริคสันเรียกวัยนี้ว่าเป็นวัยที่เด็กมีความคิดริเริ่มอยากจะทำอะไรด้วยตนเอง จากจินตนาการของตนเอง การเล่นสำคัญมากสำหรับวัยนี้เพราะเด็กจะได้ทดลองทำสิ่งต่างๆ จะสนุกจากการสมมติของต่างๆ เป็นของจริง เช่น อาจจะใช้ลังกระดาษเป็นรถยนต์ ขับรถยนต์เหมือนผู้ใหญ่ เป็นต้น
ขั้นที่ 4 ความต้องการที่จะทำกิจกรรมอยู่เสมอ – ความรู้สึกด้อย
อิริคสันกล่าวว่า เด็กอายุประมาณ 6-12 ปี เนื่องจากเด็กวัยนี้มีพัฒนาการด้านสติปัญญาและทางด้านร่างกาย อยู่ในขั้นที่มีความต้องการที่จะอะไรอยู่เมือไม่เคยว่าง
ขั้นที่ 5 อัตภาพหรือการรู้จักว่าตนเองเป็นเอกลักษณ์ – การไม่รู้จักตนเองหรือสับสนในบทบาทในสังคม
อีริคสันกล่าวว่า เด็กในวัยนี้ที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี จะรู้สึกตนเองว่า มีความเจริญเติบโต โดยเฉพาะทางด้านร่างกายเหมือนกับผู้ใหญ่ทุกอย่าง ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการเปลี่ยนแปลงทางเพศทั้งหญิงและชาย เด็กวัยรุ่นจะมีความรู้สึกในเรื่องเพศและบางคนเป็นกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ขั้นที่ 6 ความใกล้ชิดผูกพัน – ความอ้างว้างตัวคนเดียว
วัยนี้เป็นวัยผู้ใหญ่ระยะต้น เป็นวัยที่ทั้งชายและหญิงเริ่มที่จะรู้จักตนเองว่ามีจุดมุ่งหมายในชีวิตอย่างไร เป็นวัยที่พร้อมที่จะมีความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศในฐานะเพื่อนสนิทที่จะเสียสละให้กันและกัน รวมทั้งสามารถยินยอมเห็นใจซึ่งกันและกันโดยไม่เห็นแก่ตัวเลย และมีความคิดตั้งตนเป็นหลักฐานหรือคิดสนใจที่จะแต่งงานมีบ้านของตนเอง
ขั้นที่ 7 ความเป็นห่วงชนรุ่นหลัง – ความคิดถึงแต่ตนเอง
อีริควันอธิบายว่าเป็นวัยที่เป็นห่วงเพื่อนร่วมโลกโดยทั่วไป หรือเป็นห่วงเยาวชนรุ่นหลัง อยากจะให้ความรู้ สั่งสอนคนรุ่นหลังต่อไป คนที่แต่งงานมีบุตรก็สอนลูกหลายคนที่ไม่แต่งงาน ถ้าเป็นครูก็สอนลูกศิษย์ ถ้าเป็นนายก็สอนลูกน้อง หรือช่วยทำงานทางด้านศาสนา เพื่อที่จะปลูกฝังให้คนรุ่นหลังเป็นคนดีต่อไป
ขั้นที่ 8 ความพอใจในตนเอง – ความสิ้นหวังและความไม่พอใจในตนเอง
วัยนี้เป็นระยะบั้นปลายของชีวิต ฉะนั้น บุคลิกภาพของคนวัยนี้มักจะเป็นผลรวมของวัย 7 วัยที่ผ่านมา ผู้มีอาวุโสบางท่านยอมรับว่าได้มีชีวิตที่ดีและได้ทำดีที่สุด ยอมรับว่าตอนนี้แก่แล้วและจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข จะเป็นนายของตนเองและมีความพอใจในสภาพชีวิตของตน ไม่กลัวความตาย พร้อมที่จะตาย ยอมรับว่าคนเราเกิดมาแล้วก็จะต้องตาย
ซึ่งทฤษฎีจิตสังคมของอิริคสันนั้น สามารถนำมาใช้ในการปฏิบัติงาน เพื่อค้นหาว่าตัวบุคคลนั้นเป็นเช่นไร และสามารถนำไปเชื่อมกับการแก้ปัญหาให้แก่ผู้ใช้บริการได้
                              
กีเซลล์ได้แบ่งพัฒนาการเด็กออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้
1. พฤติกรรมด้านการเคลื่อนไหว (gross motor development)
เป็นความสามารถของร่างกายที่ครอบคลุมถึงการบังคับอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายและความ สัมพันธ์ทางด้านการเคลื่อนไหวทั้งหมด

2. พฤติกรรมด้านการปรับตัว(fine motor or adaptive development)
 เป็นความสามารถในการประสานงานระหว่างระบบการเคลื่อนไหวกับระบบความรู้สึก เช่น การประสานงานระหว่างตากับมือ ซึ่งดูได้จากความสามารถในการใช้มือของเด็ก เช่น ในการตอบสนองต่อสิ่งที่เป็นลูกบาศก์ การสั่นกระดิ่ง การแกว่งกำไล ฯลฯ ฉะนั้น พฤติกรรมด้านการปรับตัวจึงสัมพันธ์กับพฤติกรรมทางด้านการเคลื่อนไหว

3. พฤติกรรมทางด้านภาษา(language development)
ประกอบด้วยวิธีสื่อสารทุกชนิด เช่น การแสดงออกทาง หน้าตา ท่าทาง การเคลื่อนไหวท่า ทางของร่างกาย ความสามารถในการเปล่งเสียง และภาษาพูดการเข้าใจในการสื่อสารกับผู้อื่น

4. พฤติกรรมทางด้านนิสัยส่วนตัวและสังคม (personal social development)
เป็นความสามารถในการปรับตัวของเด็ก ระหว่างบุคคลกับบุคคลและบุคคลกับกลุ่มภายใต้ภาวะแวดล้อมและสภาพความเป็นจริงนับเป็นการปรับตัวที่ต้องอาศัยการเจริญเติบโตของสมองและระบบการเคลื่อนไหวประกอบกัน ในส่วนที่เกี่ยวกับความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็ก

ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ มีสาระสรุปได้ดังนี้

พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น ดังนี้
  1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมอง การดู ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ เด็กสามารถแก้ปัญหาได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด 
  2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ
    -- ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought)

    -- ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) 
  3. ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete Operation Stage) ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 7-11 ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้ เด็กวัยนี้สามารถที่จะเข้าใจเหตุผล 
  4. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) นี้จะเริ่มจากอายุ 11-15 ปี ในขั้นนี้พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้เป็นขั้นสุดยอด คือเด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กจะสิ้นสุดลง ทฤษฎี และเห็นว่าความเป็นจริงที่เห็นด้วยการรับรู้ที่สำคัญเท่ากับความคิดกับสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ เด็กวัยนี้มีความคิดนอกเหนือไปกว่าสิ่งปัจจุบัน สนใจที่จะสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างและมีความพอใจที่จะคิดพิจารณาเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน หรือสิ่งที่เป็นนามธรรมพัฒนาการทางการรู้คิดของเด็กในช่วงอายุ 6 ปีแรกของชีวิต ซึ่งเพียเจต์ ได้ศึกษาไว้เป็นประสบการณ์ สำคัญที่เด็กควรได้รับการส่งเสริม มี 6 ขั้น ได้แก่

    1. ขั้นความรู้แตกต่าง (Absolute Differences) เด็กเริ่มรับรู้ในความแตกต่างของสิ่งของที่มองเห็น
    2. ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้าม (Opposition) ขั้นนี้เด็กรู้ว่าของต่างๆ มีลักษณะตรงกันข้ามเป็น 2 ด้าน เช่น มี-ไม่มี หรือ เล็ก-ใหญ่
    3. ขั้นรู้หลายระดับ (Discrete Degree) เด็กเริ่มรู้จักคิดสิ่งที่เกี่ยวกับลักษณะที่อยู่ตรงกลางระหว่างปลายสุดสองปลาย เช่น ปานกลาง น้อย
    4. ขั้นความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง (Variation) เด็กสามารถเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ เช่น บอกถึงความเจริญเติบโตของต้นไม้
    5. ขั้นรู้ผลของการกระทำ (Function) ในขั้นนี้เด็กจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลง
    6. ขั้นการทดแทนอย่างลงตัว (Exact Compensation) เด็กจะรู้ว่าการกระทำให้ของสิ่งหนึ่งเปลี่ยนแปลงย่อมมีผลต่ออีกสิ่งหนึ่งอย่างทัดเทียมกัน
  5. ทฤษฏีทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรม

    ทฤษฏีพัฒนาจริยธรรมของโคลเบิร์ก

     (Kolberg) 
    โคลเบิร์ก (Kolberg) เป็นนักจิตวิทยากลุ่มปัญญานิยม (cognitivism) ซึ่งมีความเชื่อพื้นฐานว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีสมอง สามารถเกิดการเรียนรู้ เพื่อการปรับตัวให้ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมได้ โดยนำแนวเชื่อทางชีววิทยามาประยุกต์กับศาสตร์ทางจิตวิทยา แนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวคิกของเพียเจต์

    นอกจากนี้โคลเบิร์ก (Kolberg) ยังได้ศึกษาวิจัย  โดยวิเคราะห์คำตอบของเยาวชนอเมริกัน อายุ 10-16 ปี เกี่ยวกับเหตุผลในการเลือกทำพฤติกรรมอย่างหนึ่งในสถานการณ์ที่ขัดแย้งกันระหว่างความต้องการส่วนบุคคลและกฎเกณฑ์ของกลุ่มหรือสังคม และนำมาสรุปเป็นเหตุผลในการแบ่งจริยธรรมออกเป็น 6 ขั้น โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับๆ ละ 2 ขั้น ดังนี้

    ระดับจริยธรรม 
    ระดับที่ 1. ระดับก่อนเกณฑ์สังคม (pre conventional level ) อายุ 2-10 ปี การที่เรียกระดับนี้ว่าก่อนเกณฑ์สังคม เพราะว่าเด็กในวัยนี้ยังไม่เข้าใจกฎเกณฑ์สังคม แต่จะรับกฎเกณฑ์ข้อกำหนดว่าอะไรดี ไม่ดี จากผู้มีอำนาจเหนือตน เช่น พ่อแม่ ครู หรือ เด็กที่โตกว่า จริยธรรมในระดับนี้ คือ หลีกเลี่ยงการลงโทษและคิดถึงผลตอบแทนที่เป็นประโยชน์ เช่น การแสวงหารางวัล

    ระดับที่ 2. ระดับจริยธรรมตามกฎเกณฑ์สังคม (conventional morality) ช่วงอายุระหว่าง 10-20 ปี ผู้ที่อยู่ในช่วงอายุนี้ส่วนใหญ่สามารถที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์สังคมเพราะรู้ว่าเป็นกฎเกณฑ์

    ระดับที่ 3. ระดับจริยธรรมเหนือกฎเกณฑ์สังคม (post conventional level) โดยปรกติคนจะพัฒนาขึ้นมาถึงระดับนี้ หลังจากอายุ 20 ปี แต่จำนวนไม่มากนัก จริยธรรมระดับนี้จะอยู่เหนือกฎเกณฑ์สังคม กล่าวคือคนจะดีความหมายของหลักการและมาตรฐานทางจริยธรรมด้วยวิจารณญาณของตนเอง วิเคราะห์ด้วยตนเองก่อน โดยคำนึกถึงความสำคัญและประโยชน์เสมอภาคในสิทธิมนุษยชน โดยปรกติคนจะพัฒนาถึงระดับนี้มีจำนวนไม่มากนัก

    ขั้นการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม 
    ขั้นที่ 1. การเชื่อฟังและการลงโทษ (obedience and punishment orientation) พฤติกรรม “ดี” คือ พฤติกรรมที่ทำแล้วได้รางวัล พฤติกรรม “ไม่ดี” คือพฤติกรรมที่ทำแล้งได้รับการลงโทษ

    ขั้นที่ 2. กฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของตนเอง (instrumental relativist orientation) เด็กจะเชื่อฟังหรือทำตามผู้ใหญ่ ถ้าคิดว่าตนเองจะได้รับประโยชน์ หรือได้รับความพึงพอใจ

    ขั้นที่ 3. หลักการทำตามผู้อื่นเห็นชอบ (good boy nice girl orientation ) อายุ 9-13 ปี เป็นการทำตามกฎเกณฑ์ของสังคม เพื่อจะได้รับการยอมรับว่าเป็นเด็กดี

    ขั้นที่ 4. หลักการทำตามกฎระเบียบสังคม (Law and order orientation) อายุ 14-20 ปี เป็นขั้นที่ยอมรับในอำนาจและกฎเกณฑ์ของสังคม พร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคม

    ขั้นที่ 5. หลักการทำตามสัญญาสังคม (social contract orientation) เป็นขั้นที่เน้นความสำคัญของมาตรฐานทางจริยธรรมที่คนส่วนใหญ่ในสังคมยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องสมควรปฏิบัติตาม โดยพิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิซึ่งกันและกัน ในขั้นนี้สิ่ง ถูก-ผิด จะขึ้นอยู่กับค่านิยมและความคิดเห็นของแต่ละบุคคล


    ขั้นที่ 6. หลักการทางจริยธรรมที่เป็นสากล (universal ethical principle orientation) ขั้นนี้เป็นขั้นที่แต่ละบุคคลเลือกที่จะปฏิบัติตามหลักการทางจริยธรรมด้วยตัวของมันเอง และเมื่อเลือกแล้วก็ปฏิบัติอย่างคงเส้นคงวา เป็นหลักการเพื่อมนุษยธรรม เพื่อความเสมอภาคในสิทธิมนุษยชน และเพื่อความยุติธรรมของมนุษย์ทุกคน                                  

    ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรุนเนอร์                         บรุนเนอร์      (Bruner) เป็นนักจิตวิทยาที่สนใจและศึกษาเรื่องของพัฒนาการทางสติปัญญาต่อเนื่องจากเพียเจต์ บรุนเนอร์เชื่อว่ามนุษย์เลือกที่จะรับรู้สิ่งที่ตนเองสนใจและการเรียนรู้เกิดจากกระบวนการค้นพบด้วยตัวเอง  แนวคิดที่สำคัญ ๆ ของบรุนเนอร์

    1. ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ (Enactive Stage) คือ ขั้นของการเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่าง ๆ การลงมือกระทำช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ดี การเรียนรู้เกิดจากการกระทำ
    2. ขั้นการเรียนรู้จากความคิด (Iconic Stage) เป็นขั้นที่เด็กสามารถสร้างมโนภาพในใจได้ และสามารถเรียนรู้จากภาพแทนของจริงได้
    3. ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม ได้

วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

                         อนุทินครั้งที่๖
                     20 กุมภาพันธ์ 2561
    การเรียนในครั้งนี้นะคะอาจารย์นักศึกษาหาบทความของตัวเองเเล้วมานำเสนอหน้าชั้นเรียนค่ะของดิฉันนำเสนอ บทความเรื่องปลูกฝังรักการอ่านให้ลูกตั้งเเต่วัยทารกจนถึงวัยอนุบาล
   การอ่านหนังสือให้ลูกฟังสามารถทำได้ตั้งแต่เจ้าหนูยังอยู่ในครรภ์  แต่สิ่งสำคัญคือการ “ต่อยอด”  เมื่อทารกน้อยคลอดออกมาแล้ว การอ่านหนังสือให้ลูกฟังแม้เขาจะอยู่ในวัยทารก  คุณพ่อคุณไม่ต้องกังวลไปนะคะว่า  อ่านไปแล้วลูกจะเข้าใจหรือ  มีประโยชน์อย่างไรหากอ่านไปแล้วลูกไม่เข้าใจ  มาดูกันค่ะว่า ทำไมจึงควรอ่านหนังสือให้ลูกฟังแม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจก็ตาม !!!
1. แรกเริ่มการอ่านหนังสือให้ทารกในครรภ์ คือ การอ่านหนังสือ ให้ลูกฟังตั้งแต่อยู่ในท้อง เด็กจะมีความจำเกี่ยวกับคำ แม้ว่าเด็กจะไม่ได้ยิน แต่เด็กจะคุ้นชินกับคำ และประโยคที่พ่อแม่อ่านให้ฟัง ยิ่งถ้าพ่อแม่มีการต่อยอดหลังลูกคลอดออกมา เด็กก็จะยิ่งมีพัฒนาการทางภาษาที่ดีขึ้น และเรียนรู้ได้เร็วขึ้น
บทความแนะนำ  เเม่ท้องอ่านหนังสือเสริมความฉลาดทารกตั้งเเต่ในครรภ์
2. การต่อยอดเพื่อสอนลูกรักการอ่าน การอ่านหนังสือ โดยเฉพาะสำหรับลูกที่ยังเล็ก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณของหนังสือแต่อย่างใด ยิ่งมีหนังสือมาก จะยิ่งทำให้เด็กอ่านมาก  แต่ในความเป็นจริงการอ่านหนังสือเริ่มจากความประทับใจหนังสือเพียงไม่กี่เล่มหรือแม้แต่เล่มเดียวก็ตาม  การที่ลูกให้พ่อแม่อ่านซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ ก็จะมีแนวโน้มที่จะเป็นนักอ่านได้มากกว่าเด็กที่ถูกบังคับให้อ่านหนังสือมากมาย
3. ทุกเสียงที่คุณพ่อและคุณแม่อ่านเป็นคำ ๆ ให้ลูกฟังจะกระตุ้นให้สมองของลูกบันทึกและสร้างวงจรของคำศัพท์ต่าง ๆ เอาไว้ตั้งแต่ตั้งครรภ์  ยิ่งถ้าอ่าน สอนลูกรักการอ่าน  และการใช้คำจากหนังสือสอนลูกในวัยก่อน 3 ขวบมากเท่าไร เด็กจะมีชุดของคำเป็นหมื่น ๆ คำ ซึ่งคำมีผลต่อสติปัญญามาก4. หนังสือที่มีรูปเล่มดี ภาพประกอบสวย ใช้สีสด ๆ ย่อมดึงดูดเด็กเล็กได้มากกว่าหนังสือที่ดูเรียบๆ ก็จริงอยู่ หากลูกเริ่มโตพูดคุยกันได้เข้าใจ โดยเฉพาะในวัยอนุบาล   หนังสือที่ลูกจะอ่านหรือรักที่จะอ่าน ย่อมอยู่ที่เนื้อหาหรือเรื่องราวที่เด็กรู้สึกสัมผัสได้ เชื่อมโยงได้กับการเรียนรู้รอบ ๆ ตัว สัมพันธ์กับผู้คนและบรรยากาศที่ทำให้เด็กได้ประสบกับความรู้สึกนึกคิดบางอย่าง และเปิดช่องทางให้เด็กได้คิด ได้ถาม ได้สงสัย และครุ่นคิดด้วยตนเอง ทำให้เกิดการพัฒนาด้านการคิด วิเคราะห์ต่อไป
บทความแนะนำ  สุดยอด 3เคล็ดลับอ่านหนังสือกับลูกวัยหัดพูด
5. สิ่งสำคัญ พ่อแม่ไม่ควรคาดหวังหรือเปรียบเทียบการอ่านของลูกกับเด็กคนอื่น ๆ เพราะเด็กแต่ละคน แต่ละวัย มีพัฒนาการด้านการอ่านแตกต่างกันไป และไม่จำเป็นว่าเด็กทุกคนจะมีนิสัยรักการอ่านเท่าๆ กัน เป้าหมายสำคัญของการอ่านและนิสัยรักการอ่าน อยู่ที่การอ่านเป็น และสามารถใช้การอ่านเป็นสะพานเชื่อมโยงสู่พัฒนาการในด้านต่างๆ ได้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรนำลูกมาเปรียบเทียบกันว่า ใครอ่านมากกว่า หรือสนใจอ่านหนังสือประเภทใดมากน้อยกว่ากัน แล้วคะยั้นคะยอบังคับลูกเพื่อให้เหมือนคนอื่น


 เพื่อนก็จะออกไปเล่าบทความของตัวเองให้เพื่อนในห้องฟังเป็นการเเลกเปลี่ยนความได้อธิบาย
 บรรยากาศถายในห้องเรียน


เทคนิคดี ๆ ที่ทำให้ลูกรักการอ่าน

1. สภาพแวดล้อม

สอนลูกรักการอ่าน
เด็กที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่การอ่านและหนังสือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันในบ้าน และเป็นส่วนหนึ่งในการทำกิจกรรมต่างๆ จะสนใจการอ่านและสามารถได้รับการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านได้ง่าย ดังนั้น ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ใช่คนที่สนใจหนังสือหรือรักการอ่าน  ก็เป็นเรื่องยากที่จะคาดหวังให้ลูกสนใจหนังสือหรือรักการอ่านได้ เว้นเสียแต่ว่าเด็กจะได้รับอิทธิพลจากบุคคลแวดล้อมอื่นๆ โดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัว  เช่น  บางครอบครัวที่คุณปู่ คุณย่า รักการอ่านและมีเวลาอยู่กับหลาน ๆ มากกว่าคุณพ่อคุณแม่ซึ่งต้องออกไปทำงาน เด็กก็อาจมีนิสัยรักการอ่านตามคุณปู่คุณย่าได้เช่นกัน

2. ความสัมพันธ์และความประทับใจที่มีหนังสือเป็นส่วนประกอบ

สอนลูกรักการอ่าน
องค์ประกอบ  หมายถึง  บรรยากาศประทับใจที่มีการอ่านและหนังสือเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น แม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังก่อนนอน หลานอ่านหนังสือให้ยายฟัง  พ่อเล่าเรื่องจากหนังสือที่อ่านให้ลูกฟัง อาตั้งใจซื้อหนังสือมาให้เป็นของขวัญ เป็นต้น  บรรยากาศที่สะท้อนความสัมพันธ์อันใกล้ชิดอบอุ่นเช่นนี้ เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างนิสัยรักการอ่าน และควรเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและเป็นกันเอง

3. สอนให้ลูกเข้าใจประโยชน์ของการอ่าน

สอนลูกรักการอ่าน
การสอนให้ลูกรักการอ่าน สอนให้เข้าใจถึงประโยชน์ของการอ่าน  สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน เช่น  พาลูกออกไปข้างนอก  ชี้ชวนให้ลูกดูป้ายบอกทาง อ่านชื่อซอย  ชื่อถนน  ชื่อร้านค้าที่เดินผ่าน เป็นต้น ทำให้ลูกรู้และเข้าใจได้เองว่า  หากเราอ่านหนังสือเป็นก็จะทำให้ไปไหนมาไหนได้ถูก รู้จักสถานที่ต่าง ๆ เป็นต้น  การทำเช่นนี้เป็นการกระตุ้นให้ลูกสนใจและรักการอ่าน เพราะเห็นประโยชน์สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้

4. การเขียนแสดงความรู้สึกนึกคิด

สอนลูกรักการอ่าน
พัฒนาการด้านการอ่านและเขียน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กันไป เด็กที่ได้รับการสนับสนุนให้เขียน รวมทั้งวาดภาพ เพื่อแสดงความรู้สึกนึกคิดหรือจินตนาการของตนเอง  การเขียนช่วยให้เด็กสามารถสื่อสารออกมาเป็นตัวอักษรได้  การสนับสนุนให้เด็กเล็กหรือเด็กในวัยก่อนอนุบาลหรือวัยอนุบาลเขียน ไม่ควรเน้นที่ความถูกต้อง การสะกดคำ หรือหลักไวยากรณ์ ซึ่งจะทำให้เด็กรู้สึกว่าการเขียนเป็นสิ่งสร้างข้อผิดพลาดและคำตำหนิ  แต่ควรให้คำแนะนำวิธีการเขียนถูกต้องทำให้เด็กไม่รู้สึกว่าตนเองทำผิดจะทำให้รู้สึกไม่กล้าเขียนได้

5. การสนับสนุนให้กำลังใจ

. การเขียนแสดงความรู้สึกนึกคิด พัฒนาการด้านการอ่านและเขียน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กันไป เด็กที่ได้รับการสนับสนุนให้เขียน รวมทั้งวาดภาพ เพื่อแสดงความรู้สึกนึกคิดหรือจินตนาการของตนเอง การเขียนช่วยให้เด็กสามารถสื่อสารออกมาเป็นตัวอักษรได้ การสนับสนุนให้เด็กเล็กหรือเด็กในวัยก่อนอนุบาลหรือวัยอนุบาลเขียน ไม่ควรเน้นที่ความถูกต้อง การสะกดคำ หรือหลักไวยากรณ์ ซึ่งจะทำให้เด็กรู้สึกว่าการเขียนเป็นสิ่งสร้างข้อผิดพลาดและคำตำหนิ แต่ควรให้คำแนะนำวิธีการเขียนถูกต้องทำให้เด็กไม่รู้สึกว่าตนเองทำผิดจะทำให้รู้สึกไม่กล้าเขียนได้
นิสัยรักการอ่าน  คุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถบังคับลูกได้ แต่สามารถกระตุ้นและสนับสนุนได้ โดยให้กำลังใจเมื่อลูกสนใจหนังสือ อ่านหนังสือ หรือเขียนหนังสือ วิธีการให้กำลังใจควรเป็น การซักถามชื่อเรื่อง ผู้แต่ง เนื้อหา การให้เด็กอธิบายสิ่งที่ตัวเองอ่าน การพูดคุยอย่างเป็นกันเองเกี่ยวกับเนื้อหาของหนังสือ การเล่าประสบการณ์หรือเรื่องราวเสริม การขอดูรายละเอียดบางส่วนของหนังสือ วิธีที่แสดงความสนอกสนใจอย่างจริงจังทำนองนี้ ดีกว่าการกล่าวคำชมเชยเฉยๆ ซึ่งหากกระทำซ้ำๆ หรือยกยอกันมากเกินไป อาจก่อให้เกิดผลในทางลบได้ง่าย

มีการเตรียมความพร้อมก่อนออกไปนำเสนอ

"ประเมินตนเอง"
วันนี้ดิฉันเข้าห้องตรงเวลาค่ะไม่สายเเละทำการบ้านมาส่งมีความพร้อมในการออกไปนำเสนอ
"ประเมินเพื่อน"
เพื่อนบางคนมาสายบ้างเเต่ส่วนใหญ่มาตรงตามเวลาค่ะเเละเพื่อนมีความพร้อมทุกคนที่จะออกมานำเสนอค่ะ
"ประเมินอาจารย์"
วันนี้อาจารย์มารอสอนค่ะเเละเพื่อนออกไปนำเสนอของเเต่ละคนอาจารย์ก็จะอธิบายเพิ่มเติมความรู้มาเพิ่มอีกค่ะให้นักศึกษาเข้าใจเเละจดจำค่ะ
ข้อคิดเห็นค่ะ
บรรยากาศในห้องเรียนเหมาะสมดีเอื้อต่อการเรียนรู้เพื่อนมีการถามตอบทำความเข้าใจไปพร้อมกันได้ดีค่ะเเละที่เป็นจุดเด่นของวิชานี้นะคะอาจารย์ได้ให้เเสดงจุดยืนของตัวเองให้เราได้เเสดงความคิดเห็นว่าเรามีความคิดเห็นกับเพื่อนมากน้อยเเค่ไหนค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

                         อนุทินครั้งที่ ๕
                         6 กุมภาพันธ์ 2561
สำหรับทักษะการเรียนวันนี้นะคะอาจารย์ให้นำเสนอผลงานเเละอธิบายการนำเสนอให้เพื่อนฟังในสิ่งที่ตนเองค้นคว้ามาและทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม




นำเสนอผลงานทฤษฎีของเด็กปฐมวัย
ข้อคิดเห็น
บรรยากาศในห้องเรียนเหมะสมดีในห้องมีการถามตอบเเละทำความเข้าใจไปพร้อมๆกันได้ดีค่ะเเละที่เป็นจุดยืนของวิขานี้คืออาจารย์ให้ทุกคนได้เเสดงความคิดเห็นของเเต่ละคน

"ประเมินตนเอง"
เข้าเรียนตรงเวลาตั้งใจเเละให้ความร่วมมือภายในห้องเสมอค่ะ

"ประเมินเพื่อน"
เพื่อนๆให้ความร่วมมือทุกๆกิจกรรมในห้องเรียนได้ดีค่ะเเละช่วยกันออกความคิดเห็นเเสดงจุดยืนของตนเองได้ดีค่ะ
"ประเมินอาจารย์"

อาจารย์มีการบอกล่วงหน้าค่ะว่าจะสอนอะไรให้นักศึกษาอ่านหาความรู้มาจากที่บ้านค่ะเเละมาทำความเข้าใจไปพร้อมกันในห้องเรียนค่ะ


วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561



         อนุทินครั้งที่ ๔
        30 มกราคม 2561
สำหรับการเรียนในครั้งนี้นะคะจะทำงานกันเป็นกลุ่มเเต่ล่ะกลุ่มจะมีหัวข้อเป็นของตัวเองสำหรับกลุ่มดิฉันนะคะมีดังนี้

"ความต้องการของเด็กปฐมวัย"
1.ความหมายเเละความต้องการของเด็กปฐมวัย
   -ความต้องการพื้นฐานทางกายเพื่อให้ดำรงอยู่
-ความต้องการความอิสระ ควบคู่ไปกับความต้องการพื้นฐานทางกาย
   -ความต้องการผลสัมฤทธิ์ มักจะต้องให้เกิดผลลัพย์ทั้งสิ้น
-ความต้องการประสบการณ์ที่ท้าท
-ความต้องการมีเพื่อน
2.ครูจะมีวิธีตอบสนองความต้องการอย่างไร
-ความต้องการอิสระควบคู่ไปกับพื้นฐานทางกายโดยครูเป็นผู้ตั้งโจทย์สร้างบรรยากาศเเละส่งเสริมเพื่อกระตุ้นให้เด็กใช้ความคิดเเละจินตนาการผ่านทักษะทางร่างกายที่เป็นเครื่องมือในดารเเสดงออก
-ความต้องการผลสัมฤทธิ์มักจะต้องการให้ลดผลสัมฤทธิ์ทั้งสิ้นในการจัดการเรียนการสอนเเละทำกิจกรรมต่างๆครูต้องเป็นผู้ปฏิบัติให้เด็กเห็นภาพเเละจึงปฏิบัติตามเเละทำให้เด็กเกิดผลสัมฤทธิ์ในการเรียนการสอนของครู
-ครูควรจัดกิจกรรมใหม่ๆให้เด็กไม่เบื่อ
3.พ่อเเม่ผู้ปกครองจะมีวิธีตอบสนองความต้องการอย่างไร
-ครูจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายผู้ปกครองพาเด็กเล่นเครื่องเล่นหากิจกรรมเต้นออกกำลังกายอยู่ที่บ้าน
-ผู้ปกครองควรให้อิสระกับเด็กในการคิดการเเสดงความคิดเห็นเพราะช่วงที่เด็กเข้าโรงเรียนเด็กต้องการอิสระมากนิ่งขึ้น
-ผู้ปกครองต้องสนับสนุนกับกิจกรรมของครูที่ได้ตัดให้กับเด็กเพื่อที่ให้เด็กนั้นเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ดีต่อตัวเอง
-ควรพาน้องๆไปเล่นกิจกรรมที่ท้าทายเเละสอนเด็กๆควบคู่ไปด้วย


ระหว่างทำงานกลุ่มในกลุ่มทุกคนช่วยกันเเสดงความคิดเห็น
ในกลุ่มีควาทสามัครคีช่วยเหลือเกื้อกูลกันเเละมีการถามตอบกันได้ดี
เสริมสร้างจิตนาการความคิดสร้างสรรค์ระหว่างทำงานกลุ่ม
                          "ประเมินตนเอง"
เราสามารถเเสดงความคิดเห็นร่วมกับเพื่อนอาสาตกเเต่งผลงานเพราะเราถนัดด้านนี้

                          "ประเมินเพื่อน"
เพื่อนทุกคนมีการถามตอบกันได้ดีช่วยกันเเสดงความคิดเห็นร่วมใจสามัคคีกันภายในกลุ่ม

                           "ประเมินอาจารย์"
อาจารย์จัดงานให้นักษาทำงานเป็นกลุ่มมีความเป็นระบบเพื่อฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่นขาดตกบกพร่องตรงไหนอาจารย์ก็คอยชี้เเนะเเนวทางให้ได้ดีค่ะ
                               "  ข้อคิดเห็น"
บรรยากาศในห้องเรียนเหมาะสมดีเอื้อต่อการเรียนรู้ในห้องเรียนมีการถามตอบทำความเข้าใจไปพร้อมกันได้ดีค่ะเเละที่สำคัญที่เป็นจุดเด่นในวิชานี้ก็คืออาจารย์ให้เราเเสดงจุดยืนว่าเรามีความคิดเห็นกับเพื่อนมากน้อยเเค่ไหนเเละการเรียนในครั้งนี้ช่วยฝึกทำให้เราได้ทำงานร่วมกับผู้อื่น